วันว่างๆของอุ๋ย

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำสอนดีดี



คำสอนที่ดี มีประโยชน์










































บทความที่มีประโยชน์

4. ประโยชน์ของมัลติมิเดีย


              แนวทางการนำมัลติมีเดียมาประยุกต์ใช้งานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีหลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้งาน ตัวอย่างเช่น สื่อมัลติมีเดียที่ผลิตเป็นบทเรียนสำเร็จรูป (CD-ROMPackage) สำหรับกลุ่มผู้ใช้ในแวดวงการศึกษาและฝึกอบรม สื่อมัลติมีเดียที่ผลิตขึ้นเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ(Product and Services) สำหรับการโฆษณาในแวดวงธุรกิจ เป็นต้น นอกจากจะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้วยังเป็นการเพิ่มประสิทธิผลให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนอีกด้วย โดยสามารถแยกแยะประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำมัลติมีเดียมาประยุกต์ใช้งานได้ดังนี้ง่ายต่อการใช้งาน    โดยส่วนใหญ่เป็นการนำมัลติมีเดียมาประยุกต์ใช้งานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มผล ผลิต ดังนั้นผู้พัฒนาจึงจำเป็นต้องมีการจัดทำให้มีรูปลักษณ์ที่เหมาะสม และง่ายต่อการใช้งานตามแต่กลุ่มเป้าหมายเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ตัวอย่างเช่น การใช้งานสื่อมัลติมีเดียโปรแกรมการบัญชี
                สัมผัสได้ถึงความรู้สึก    สิ่งสำคัญของการนำมัลติมีเดียมาประยุกต์ใช้งานก็คือ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกจากการสัมผัสกับวัตถุที่ปรากฎอยู่บนจอภาพ ได้แก่ รูปภาพ ไอคอน ปุ่มและตัวอักษร เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงตามความต้องการ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้คลิกที่ปุ่มPlay เพื่อชมวิดีโอและฟังเสียงหรือแม้แต่ผู้ใช้คลิกเลือกที่รูปภาพหรือตัวอักษรเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ เป็นต้น
สร้างเสริมประสบการณ์   การออกแบบและพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านมัลติมีเดีย แม้ว่าจะมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันตามแต่ละวิธีการ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้จะได้รับก็คือ การสั่งสมประสบการณ์จากการใช้สื่อเหล่านี้ในแง่มุมที่แตกต่างกันซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงวิธีการใช้งานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ได้เคยเรียนรู้วิธีการใช้ปุ่มต่างๆ เพื่อเล่นเกมส์บนคอมพิวเตอร์มาก่อน และเมื่อได้มาสัมผัสเกมส์ออนไลน์ใหม่ๆก็สามารถเล่นเกมส์ออนไลน์ได้อย่างไม่ติดขัด
เพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้สืบเนื่องจากระดับขีดความสามารถของผู้ใช้แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับการสั่งสมมา ดังนั้น การนำสื่อมัลติมีเดียมประยุกต์ใช้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการเล่นจากระดับที่ง่ายไปยังระดับที่ยากยิ่งๆ ขึ้นไป

เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น   ด้วยคุณลักษณะขององค์ประกอบของมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและวิดีโอ สามารถที่จะสื่อความหมายและเรื่องราวต่างๆ ได้แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอ กล่าวคือ หากเลือกใช้ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว การสื่อความหมายย่อมจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการเลือกใช้ข้อความหรือตัวอักษร ในทำนองเดียวกัน หากเลือกใช้วิดีโอ การสื่อความหมายย่อมจะดีกว่าเลือกใช้ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ดังนั้น ในการผลิตสื่อ ผู้พัฒนาจำเป็นต้องพิจารณาคุณลักษณะให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ ตัวอย่างเช่น การผสมผสานองค์ประกอบของมัลติมีเดียเพื่อบรรยายบทเรียน
คุ้มค่าในการลงทุน  การใช้โปรแกรมด้านมัลติมีเดียจะช่วยลดระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง การจัดหาวิทยากร การจัดหาสถานที่ การบริหารตารางเวลาและการเผยแพร่ช่องทางเพื่อนำเสนอสื่อ เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ได้หักค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนไปแล้วก็จะส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนความคุ้มค่าในการลงทุนในระยะเวลาที่เหมาะสม
เพิ่มประสิทธิผลในการเรียนรู้  การสร้างสรรค์ชิ้นงานด้านมัลติมีเดียจำเป็นต้องถ่ายทอดจินตนาการจากสิ่งที่ยากให้เป็นสิ่งที่ง่ายต่อการรับรู้และเข้าใจด้วยกรรมวิธีต่างๆ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานแล้ว ผู้ใช้ยังได้รับประโยชน์และเพลิดเพลินในการเรียนรู้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้(User)ออกแบบและสร้างเว็บเพ็จ (Web Page) ด้วยโปรแกรมแม็คโครมีเดีย ดรีมวิเวอร์ (Macromedia Dreamweaver ) หรือ
ผู้ใช้กำลังศึกษาสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
                    สรุปได้ว่า คำว่า มัลติมีเดียมีความหมายที่ค่อนข้างกว้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่สนใจ อย่างไรก็ตามกระแสนิยมด้านมัลติมีเดียมักจะนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้งานร่วมด้วย เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีขีดความสามารถในการผลิตสื่อได้หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งยังสามารถนำเสนอและติดต่อสื่อสารได้อีกด้วย สำหรับในที่นี้คำว่า มัลติมีเดียหมายถึง การนำองค์ประกอบของสื่อชนิดต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย ตัวอักษร(Text) ภาพนิ่ง (Still Image) ภาพเคลื่อนไหว(Animation) เสียง (Sound) และวิดีโอ (Video) โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์เพื่อ
สื่อความหมายกับผู้ใช้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) และได้บรรลุผลตรงตาม
วัตถุประสงค์การใช้งาน ในส่วนของแต่ละองค์ประกอบของมัลติมีเดียทั้ง 5 ชนิดจะมีทั้งข้อดี-


       ข้อเสีย

แตกต่างกันไปตามคุณลักษณะและวิธีการใช้งาน สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากมัลติมีเดียมีมากมาย 
นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้ว ยังเพิ่มประสิทธิผลของความคุ้มค่าในการลงทุน
อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง


วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นิทาน ชาดก พ่อค้าผู้รอบรู้

เพิ่มบทความ รูปภาพ และวีดีโอที่มีประโยชน์

1.           บทความเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล


บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ไวโป ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ในหลวง” ผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา พระองค์แรกของโลก
นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาไวโป (WIPO) ได้ออกแถลงข่าวเรื่อง การทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา (WIPO Global Leaders Award) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักประดิษฐ์ ทรงมีบทบาทในการส่งเสริมการใช้ทรัพย์สิน ทางปัญญา ทรงประกอบพรราชกรณียกิจเพื่อการพัฒนาชุมชนในชนบทของไทย ให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา และเทคโนโลยีการทำฝนเทียม นายกิตติ กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา กรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากกว่า 20 รายการ
และเครื่องหมายการค้าอีกจำนวน 19 รายการ สำหรับรางวัลผู้นำโลกทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา
ประกอบด้วยการประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ เหรียญรางวัลอันสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพ และพระวิริยะอันสูงส่งในการทรง เป็นผู้นำ ในการส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาในระดับชาติ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ทั้งนี้ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ ไวโป (WIPO)
ยังไม่เคยมอบรางวัลให้ผู้ใดมาก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระองค์แรกของโลกที่ได้ รับการถวายรางวัลฯ ดังกล่าว

ข่าวจาก โพสต์ทูเดย์ — 29 มกราคม 2550 



2.           ประชาธิปไตยที่ มนุษย์เท่าเทียมกัน

นักปรัชญาชายขอบ
                หากความหมายของประชาธิปไตยคือ อำนาจตัดสินใจทางการเมือง และหรือที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะเป็นของประชาชนความหมายดังกล่าวนี้จะไม่มีทางทำให้เป็นจริงได้หากปราศจากการยอมรับหลักการที่ว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันแต่หลักการดังกล่าวนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่ามนุษย์นั้นแตกต่างกันอย่างน้อยก็ 2 ด้านใหญ่ๆ คือความแตกต่างด้านชีววิทยา เช่น บางคนเกิดมาสมประกอบ บางคนเกิดมาพิการ บางคนร่างกายอ่อนแอ บางคนแข็งแรง บางคนโง่ บางคนฉลาด ความสามารถในการเรียนรู้ ความคิดความอ่านเป็นต้นของคนเราไม่เท่ากันซึ่งความไม่เท่ากันดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความแตกต่างด้านสังคมวิทยา เช่น ระดับการศึกษา อาชีพ ทรัพย์สิน อำนาจ รสนิยม ชาติตระกูล ความสำเร็จ เกียรติ ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ ฯลฯสังคมที่เรียบง่ายในยุคเกษตรกรรมความแตกต่างเหล่านี้อาจมีไม่มากนัก แต่สังคมที่ซับซ้อนเช่นปัจจุบันความแตกต่างดังกล่าวมีมากขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดชนชั้นทางสังคม เช่น คนชั้นสูง คนชั้นกลางระดับสูง คนชั้นกลางระดับกลาง คนชั้นกลางระดับล่าง คนชั้นต่ำหรือชนชั้นรากหญ้าความแตกต่างทางระดับการศึกษา อาชีพ ทรัพย์สิน อำนาจ รสนิยม ฯลฯ ทำให้คนเกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่นเฉพาะในชนชั้นของตนเองทั้งในด้านการทำงาน กิจกรรมทางสังคม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การแบ่งปันทุกข์สุข การพักผ่อน กิจกรรมบันเทิง ฯลฯ และรวมไปถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือการกำหนดประเด็นสาธารณะต่างๆ ด้วยแม้ความแตกต่างทางชนชั้นในปัจจุบันจะไม่ใช่ความแตกต่างที่เข้มข้นเหมือนความแตกต่างภายใต้ระบบศักดินา แต่ก็เป็นความแตกต่างที่สะท้อนให้เห็น ช่องว่างหรือความไม่เป็นธรรมทางสังคมอย่างน่าตกใจ ดังข้อสังเกตของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ที่ว่า
“... ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย  หรือระหว่างคนข้างล่างกับคนข้างบน  คือ  ภาพสะท้อนมหภาคของความไม่เป็นธรรม  เราเป็นคนเหมือนกันควรจะมีศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นคนเหมือนกัน   แต่ทำไมจึงแตกต่างกันมากเหลือเกินระหว่างคนข้างล่างที่ปากกัดตีนถีบไม่พอที่จะเลี้ยงลูก  กับคนข้างบนที่อาจมีรายได้เป็นล้านๆ  บาทต่อเดือน  เรามีปัญหาความไม่เป็นธรรมทุกด้าน  ทั้งทางเศรษฐกิจ  ทางสังคม  ทางกฎหมายและการเข้าถึงทรัพยากร  เรารู้หรือไม่ว่ากฎหมายและการประยุกต์ใช้กฎหมายมีอคติต่อคนจน  ความขัดแย้งทั่วแผ่นดินเกิดจากการแย่งชิงทรัพยากรที่รัฐไม่อำนวยความเป็นธรรม”  

ประเด็นคือการเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ และหากประชาธิปไตยหมายถึงอำนาจเป็นของประชาชน และเป็นอำนาจบนหลักการที่ว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันเพราะมีแต่มนุษย์ที่เท่าเทียมกัน (หรือสมาชิกแห่งสังคมที่ยืนยันหลักการ ความเสมอภาค”) เท่านั้นเมื่อมาต่อรองอำนาจและผลประโยชน์กัน ผลลัพธ์ของการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์จึงจะออกมาอย่างเป็นธรรมฉะนั้น เราไม่อาจจินตนาการถึงสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงซึ่งปฏิเสธหลักการ ความเท่าเทียมของมนุษย์เช่น ถือว่าในสังคมนั้นต้องมีบุคคลพิเศษที่อยู่เหนือมนุษย์อื่นๆ ทั้งในแง่ชาติตระกูล คุณธรรม การมีอภิสิทธิ์ หรืออำนาจที่ไม่มีประชาชนคนใดอาจตั้งคำถาม ตรวจสอบ หรือกำกับให้รับผิดชอบต่อการใช้อำนาจนั้นได้แต่ในสังคมบ้านเรานั้น ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการเราก็เห็นความเป็นจริงของสังคมที่ไม่อาจจินตนาการถึงนั้นอยู่เต็มตา ทั้งยังเห็นช่องว่างทางชนชั้นทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมซึ่งนับวันจะถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ประชาธิปไตยที่อำนาจของประชาชนอยู่บนพื้นฐานของหลักการความเท่าเทียมของมนุษย์จึงยากจะเป็นไปได้อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่เชื่อย่างลึกซึ้งในหลักการที่ว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน”  แต่จากที่กล่าวมาเราอาจสรุปข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับหลักการนี้ให้ชัดขึ้น คือ
                1.ความเชื่อร่วมหรืออุดมการณ์ร่วมของสังคม (ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญและวัฒนธรรมตกทอดจากอดีต) ที่ยอมรับอภิสิทธิชนที่อยู่เหนือการตั้งคำถามและการตรวจสอบในทุกรณี เป็นความเชื่อหรืออุดมการณ์ที่ขัดแย้ง เชิงอุดมการณ์ต่อหลักการ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างสิ้นเชิง และนี่จึงเป็นอุปสรรคสำคัญของการเกิดประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนซึ่งเท่าเทียมกันสามารถต่อรองในเรื่องอำนาจและผลประโยชน์กันได้อย่างยุติธรรม
                2.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแตกต่างด้านชีววิทยา สังคมวิทยา หรือปัญหาช่องว่างทางเศรษฐกิจ สังคม ที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ความขัดแย้ง เชิงอุดมการณ์กับหลักการ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันเพราะหากไม่ยึดเอาความแตกต่างเหล่านั้นมาเป็นเงื่อนไขในการจำแนกความแตกต่างทางคุณค่าหรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ (เช่น ไม่ถือว่าคนรวยมีคุณค่าความเป็นคนมากกว่าคนจน ฯลฯ) สังคมก็ยังอาจรักษาอุดมการณ์ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันเอาไว้ได้
เช่น ไม่ว่าคนจนคนรวยก็ต้องเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย ถูกตั้งคำถาม ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ และวาง ระบบที่ทำให้ทุกคนในฐานะสมาชิกแห่งสังคมประชาธิปไตยได้เข้าสู่เวทีการต่อรองในเรื่องอำนาจและผลประโยชน์อย่างเสมอภาค (มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าเชื่อในเรื่องอภิสิทธิชนตามข้อ 1 จะไม่มีทางเป็นไปได้เลย)

ดังนั้น ก้าวต่อไปของประชาธิปไตยในบ้านเรา จึงต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายสำคัญอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ
1.เราจะสลายความเชื่อหรืออุดมการณ์ยอมรับอำนาจพิเศษของอภิสิทธิชน ด้วยการสร้างรัฐธรรมนูญใหม่และวัฒนธรรมใหม่ที่ตั้งมั่นอยู่บนหลักการ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันได้อย่างไร โดยประชาชนไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
2.เราจะจัดการกับปัญหาช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เป็นธรรมอย่างไร จึงจะทำให้เกิดสังคมที่มีการกระจายสิทธิ อำนาจ และผลประโยชน์ในด้านต่างๆ อย่างเป็นธรรม หรือทำอย่างไรที่ประชาชนในทุกชนชั้นทางเศรษฐกิจ สังคม จะสามารถขึ้นสู่เวทีต่อรองในเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ หรือมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆ อย่างเท่าเทียมมากขึ้น
ก็ได้แต่ฝากปัญหาให้ช่วยกันคิดหาทางแก้นะครับ เพราะเป็นปัญหาที่ผมเองก็จนด้วยเกล้าจริงๆ
 .........................................................................................................................................................................
[1] http://www.thaipost.net/news/180309/1893
[2] ขอยืมความหมายจากข้อความในโพสต์ของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ว่า ประชาธิปไตย นั้น ก่อนอื่นที่สุด คือความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า คนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นเทวดากว่าคนอื่น” (ดู
http://www.prachatai.com/node/25214/talk)

3.  น้ำชา... กาแฟ ผลเสียผลดีต่อสุขภาพ


               ในทางการแพทย์พบว่า เครื่องดื่มประเภทน้ำชากาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์เพราะสาร
คาเฟอีน ใน ชา กาแฟมีผลเสพติดอ่อนๆคือดื่มแล้วจะติด พอเวลาไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น
 
สารคาเฟอีนนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาประเภท ลดไข้บรรเทาปวดอีกด้วย
      ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเท่าไร ผลร้ายที่มีต่อร่างกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายจะใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมง ในการสลายคาเฟอีน 
      ถ้าร่างกายได้รับ คาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000 - 10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในระยะอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2 - 2 1/2 ถ้วย (50 - 200 มิลลิกรัม) ลดความเมื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด 3 - 7 ถ้วย (200 - 500 มิลลิกรัม) ทำให้มือสั่น กระวนกระวายโกรธง่าย และปวดศรีษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้นเป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายต่อผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ คาเฟอีนมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงกรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมัน ในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่ทำงาน
      ผู้ที่ดื่มกาแฟ น้ำชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ รวมถึงการใช้ยาที่มีคาแฟอีนผสมอยู่รวมถึงการใช้ยาคาเฟอีนจนติดเป็นนิสัย จึงมีระดับคงทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนสูงขึ้น โดยที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ต่อร่างกายน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของประสาทตื่นตัว ปวดศีรษะ และปวดกระเพาะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น การหยุดดื่มกาแฟจะมีผลทำให้ปวดศีรษะ กระวนกระวายโกรธง่าย และไม่สนใจ สิ่งแวดล้อม
 
      สำหรับสตรีมีครรภ์นั้นไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ โดยเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนเราควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับประมาณ 2 ถ้วย ( คือ กาแฟ 1 ถ้วย ใส่ผงกาแฟสำเร็จรูป 2 ช้อนชา น้ำประมาณ 1 ถ้วย) เวลาที่เหมาะสมจะดื่มชากาแฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน บางคนดื่มตอนเช้าเพื่อให้ลำไส้กระปรี้กระเปร่า ถ่ายสะดวก แต่จะทำให้หิวเร็วกว่าปกติ เพราะกาแฟจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยเพราะฉะนั้นไม่ควรดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า และ หันมาดื่มนมแทนจะดีกว่า ถ้าคนที่นอนหลับยาก หรือมีภาระกิจต้องตื่นแต่เช้า ก็ไม่ควรดื่มกาแฟหลังอาหารเย็นวันนั้น จะเห็นว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีผลร้ายกับร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม ก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องกำจัด ปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
ที่มา
  :   กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




นิทาน ชาดก เวลาเป็นสิ่งล้ำค่า

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

บทความเกี่ยวกับภาษาไทย

๑.  บทความ..ปัญหาการใช้ภาษาไทยของครูและนักเรียน


เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2009 เวลา 13:27 น.
บทความ

เรื่อง  ปัญหาการใช้ภาษาไทยของครูและนักเรียน

                           โดย  นางสาวน้ำฝน  ทะกลกิจ


        ในวิถีแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดน ท่ามกลางสังคมที่มีค่านิยมยอมรับนับถือวัตถุมากกว่าคุณค่าของจิตใจนั้น หลายๆสิ่งกำลังเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังดำดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็คือ ความเป็นไทยและภาษาไทย ภาษาชาติของเรานั่นเอง ที่กำลังถูกค่านิยมของคนรุ่นใหม่รุกรานจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมอยู่เลย
        ปัญหาการใช้ภาษาไทยนั้นเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆจนในขณะนี้ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ในสถานศึกษาอันเป็นแหล่งหล่อหลอมความรู้ก็มิได้ละเว้น ภาษาไทยกลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อของผู้เรียน และสุดท้ายผู้เรียนจึงได้รับความรู้แบบงูๆปลาๆที่จะนำไปใช้ต่อไปอย่างผิดๆ หากเราจะแยกปมปัญหาการใช้ภาษาไทยในโรงเรียนนั้น สามารถแยกเป็นประเด็นใหญ่ๆ ได้       ๒ ประเด็น คือ
        ๑.ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจาก ครู เนื่องจากครู คือ ผู้ประสาทวิชา เป็นผู้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านต่างๆ เด็กๆจึงมักจะได้รับมาจากครูเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ครูบางคนนั้นมีความรู้แต่ไม่แตกฉาน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่มีความละเอียดอ่อน และมีส่วนประกอบแยกย่อยอย่างละเอียดลออ เมื่อครูไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างกระจ่าง จึงทำให้นักเรียนไม่เข้าใจตามไปด้วย จนในที่สุดพาลเกลียดภาษาไทยไปในที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาที่ปรากฏให้เห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน

ความเป็นครูนั้น แน่นอนการสอนย่อมสำคัญที่สุด ครูบางคนมีความรู้อยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่กลับสอนไม่เป็น ซึ่งครูส่วนใหญ่มิได้ยอมรับปัญหานี้ บางคนสักแต่ว่าสอน แต่ไม่เข้าใจเด็กว่าทำอย่างไร อธิบายอย่างไร เด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าข้าวนั้นจะซึมซับเอาความรู้จากท่านไปได้มากที่สุด การทำความเข้าใจเด็กจึงเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญไม่แพ้ภูมิความรู้ที่มีอยู่ในตัวครูเลย   ครูจึงควรหันกลับมายอมรับความจริง และพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองให้เหมาะสมกับที่เป็นผู้รู้ที่คนทั่วไปยอมรับนับถือ

         ๒. ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากนักเรียน ในสังคมยุคไซเบอร์ ซึ่งสามารถเข้าไปใช้บริการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ทุกภาคส่วน เด็กซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลองจึงมิได้ให้ความสนใจเพียงแค่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลการศึกษาเท่านั้น หากแต่สนใจกับภาคบันเทิงควบคู่ไปด้วย และโดยแท้จริงแล้ว มักจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลังมากกว่าการค้นคว้าความรู้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กนั้นเป็นปมปัญหาสำคัญยิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
          ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มลุกลามมาจากโปรแกรมแช็ทรูมและเกมออนไลน์ ซึ่งดูคล้ายเป็นการสนทนากันธรรมดา แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสแล้ว มิใช่เลย การสนทนาอันไม่มีขีดจำกัดของภาษาทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ดังเช่นที่พบตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้แก่วงการภาษาไทยด้วย นั่นคือการกร่อนคำ
 
และการสร้างคำใหม่ให้มีความหมายแปลกไปจากเดิม หรืออย่างที่เรียกว่าภาษาเด็กแนวนั่นเอง ดังจะขอยกตัวอย่าง ดังนี้

          สวัสดี เป็น ดีครับ ดีค่ะ
          ใช่ไหม เป็น ชิมิ
          โทรศัพท์ เป็น ทอสับ
          กิน เป็น กิง

          จะเห็นได้ว่าคำเหล่านี้ถูกคิดขึ้นและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเหตุผล ๒ ประการ  คือ  เพื่อให้ดูเป็นคำที่น่ารัก และพิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่คำนึงถึงว่า นั่น คือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม เพราะหลายๆคนนำคำเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันเสียด้วยซ้ำ ดังจะเห็นได้ว่า เด็กบางคนนำภาษาเหล่านี้มาใช้ในโรงเรียนจนแพร่หลาย นั่นคือความมักง่ายที่นำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยที่ไม่ควรมองข้าม
         ปัญหาการใช้ภาษาไทยเป็นปัญหาที่ลุกลามใหญ่โตกลายเป็นไฟลามทุ่งอยู่ทุกวันนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ภาษาไทยอันถือเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทยนี้อาจจะบอบช้ำเสียจนเกินเยียวยา การปลูกฝังจิตสำนึกและความตระหนักแก่ทุกคนในชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ยึดถือปฏิบัติล้วนมาจากจิตสำนึกทั้งสิ้น เมื่อกระทำได้ดังนี้แล้ว ไม่ว่าวิถีชีวิตแบบไหน หรือค่านิยมสมัยใหม่ประเภทใดก็ไม่สามารถทำลายภาษาไทยของเราได้อย่างแน่นอน



                             ๒.  การอ่านอย่างมีมิติ

ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ


        ภาษามิได้มีเพียงความหมายของถ้อยคำเท่านั้น  เมื่อภาษาถูกส่งออกจากผู้ส่งสาร  มันจึงมิได้มีเพียงเรื่องราวที่เป็นความหมายของถ้อยคำ  แต่ในเรื่องราวและความหมายที่ส่งออกมานั้นจะประกอบไปด้วยความคิด  ความรู้สึก  อารมณ์  ทัศนคติ  เจตนา  ท่าทีของความคิดความรู้สึกหรือน้ำเสียง  ความหมายตรง  ความหมายแฝง  วัฒนธรรม  พื้นภูมิประสบการณ์  ภูมิปัญญา  ปรัชญา อุดมการณ์  มโนคติ  อุดมคติ  ท่วงทำนอง  วิถี  ลีลา  รูปแบบ  บุคลิกภาพ  อัตลักษณ์  เบื้องหน้าเบื้องหลัง  บริบทชีวิต  สังคม  การศึกษา  ความจริงใจ  เล่ห์เหลี่ยม  ชั้นเชิง  ความดี  ความงาม ความชั่วร้าย  ความกล้า  ความเชื่อมั่น  ความหวั่นไหว  ความหวาดระแวง  ความคาดหวัง  ฯลฯ
                ไม่ว่าภาษาที่ส่งออกมานั้นจะเป็นภาษาพูด  ภาษาเขียน  ภาษาท่าทาง  หรือภาษาสัญลักษณ์ต่างๆ ก็ตาม   ก็อาจมี อะไร” ที่นอกเหนือจากความหมายตามถ้อยคำและเรื่องราวตามตัวหนังสือหรือสื่อแสดงภาษานั้นๆ  ยิ่งมีอะไรที่แฝงมาในสารนั้นมากเท่าไร   ผู้รับสารก็จำเป็นที่จะต้อง อ่าน” อะไรๆ เหล่านั้นให้ครบถ้วน   จึงจะถือว่าเป็นผู้รับสารที่มีคุณภาพ   ยังประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจ  การนำไปใช้  หรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างมีคุณค่า  
              เราเรียกการอ่านที่สามารถ เข้าถึงสารอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุมหรือทุกนัยแห่งสาร” นั้นว่า การอ่านอย่างมีมิติ  การอ่านเช่นนี้  จะส่งเสริมสติปัญญา  ความคิด  อารมณ์ความรู้สึก  และวุฒิภาวะในการอ่านโลก  อ่านชีวิต  และอ่านสิ่งต่างๆ ให้งอกงามพัฒนา   ส่งผลให้บุคคลผู้มีวิถีการอ่านเช่นที่ว่านี้เป็นผู้แตกฉานต่อชีวิต  มีศักยภาพทางความคิด  สติปัญญา  ความสามารถสร้างสรรค์ การทำงาน  และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพยิ่ง  และบุคคลผู้สมควรที่จะต้องเป็น นักอ่าน”  ซึ่งมีวิถีการอ่านอย่างมีมิติที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาก็คือ ครูนั่นเอง
                การอ่านไม่ใช่แค่เรื่องของวิชาภาษาไทย  หรือวิชาภาษาใดๆ  แต่มันเป็น เครื่องมือแห่งชีวิต”  ที่ครูทุกคนจะต้องเป็นนักอ่าน   การอ่านมากและอ่านอย่างลุ่มลึกแหลมคม  อย่างทะลุทะลวงมิติต่างๆ ของสาร  เข้าถึงสารอย่างสมบูรณ์ถ่องแท้อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ  จะทำให้ครูได้พบกับสิ่งใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ  วิถีทางใหม่ๆ  ความสนุกในรสแห่งการอ่าน  ความบันเทิงทางจิตวิญญาณและปัญญา  ทำให้สามารถคิดอะไรใหม่ๆ ในการสอนและการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของตน  ข้อสำคัญมันจะทำให้ครูทุกคนได้พบความภาคภูมิใจในตนเอง  เชื่อมั่นในตนเอง  มีความกล้าหาญทางจริยธรรม  และจะได้อะไรดีๆ ในชีวิตของการเป็นครูอีกมาก   ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะเป็นดอกผลแสนงามที่ตกทอดแก่เด็กๆ และเยาวชนของชาติอย่างมิต้องสงสัย
                งานเขียนที่มักมีมิติซับซ้อน  มีอรรถรสชวนอ่าน  มีแก่นสารทางปัญญาและมโนคติ  โดยทั่วไปจะพบได้ในกลุ่มงานเขียนประเภท บันเทิงคดีสร้างสรรค์”   ได้แก่  กวีนิพนธ์  เรื่องสั้น นวนิยาย  หรือที่มักเรียกรวมๆ ว่าวรรณกรรมสร้างสรรค์และปรัชญานิพนธ์ต่างๆ  การอ่านงานประเภทเหล่านี้จะช่วยให้มีความสนุกบันเทิงในการอ่าน   ซึ่งอาจเป็นการสนุกคิด  สนุกติดตาม  สนุกกับความตื่นเต้น  หรือสนุกกับท่วงทำนองต่างๆ ในมิติของงานเขียนที่สร้างสรรค์   แต่การที่ครูจำนวนไม่น้อยยังมิใคร่จะให้ความสำคัญกับการอ่านงานเขียนประเภทนี้  ก็เพราะมักจะคิดว่าไม่มีความสำคัญ  ไม่ได้ให้คำตอบกับโจทย์ชีวิตหรือหน้าที่การงานที่ต้องการโดยตรง   หารู้ไม่ว่าการคิดเช่นนั้น แท้แล้วเป็นการคิดที่ผิวเผินนัก!  
                การมุ่งอ่านเพื่อรู้เรื่องราวที่อยากรู้โดยตรงเช่นการอ่านตำราจะได้อย่างมากก็แค่รู้เรื่องนั้นๆ เท่านั้น   สมองจะสั่งสมแต่ ตัวรู้’…ที่รู้ตาม ตามที่คนอื่น บอกความรู้’ ให้   แต่การอ่านงานเขียนที่มิได้บอกความรู้โดยตรง  จะเป็นการกระตุ้นความงอกงามทางปัญญา  กระบวนการคิด  มโนคติ และวุฒิภาวะทางอารมณ์  ฯลฯ  ทำให้บุคคล พัฒนาสมองแบบเชื่อมโยง’  ด้วยตัวของตัวเอง   และก็จะสนับสนุน ตัวรู้’  ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างเป็นองค์รวม  
                อยากให้ลองพิจารณาทบทวนว่า  การเรียนการสอนที่ครูโดยทั่วไปปฏิบัติกันอยู่นั้นได้ก้าวพ้นวิธีการแบบ บอกความรู้ แล้วหรือยัง   ถ้ายัง ก็แสดงว่าครูยังมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา ๒๔  ยังมิได้ก้าวไปสู่ทิศทางการปฏิรูปการศึกษา   ยังพายเรืออยู่ในอ่างที่ไม่สามารถหาทางออก  เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะครูเอง (ส่วนใหญ่ล้วนผ่านการสั่งสมการเรียนรู้แบบรับความรู้จากครูผู้บอกความรู้ เช่นเดียวกันมาเป็นเวลานานแสนนาน  ทั้งระบบ  ทั้งสังคมการศึกษาของเรา   วันนี้เราสามารถพัฒนาความรู้ไปได้ไกลชนิดไม่น้อยหน้าใครในโลกแล้ว  แต่การพัฒนาความคิด  กระบวนการคิด  ความคิดสร้างสรรค์  การคิดอย่างเท่าทัน  และการคิดอย่างมีมิติของเรากลับถดถอย  ขาดหาย  และพัฒนาไปได้น้อยอย่างน่าตกใจ  จนกระทั่งต้องบัญญัติกฎหมายบังคับ (มาตรา ๒๔)  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเราสั่งสมเหตุแห่งการจัดการศึกษาแบบให้น้ำหนักแก่ ตัวรู้มากกว่า ตัวคิด” นั่นเอง   ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องใช้กระบวนการอ่านอย่างขบคิดแทรกซึมเข้าไปในทุกสาขาวิชา  ทุกตัวครูและผู้บริหาร  ซึ่งเครื่องมือสำคัญของการอ่านที่ว่านี้ก็คือ การอ่านอย่างมีมิติ  นั่นเอง
                เพราะชีวิตมนุษย์มีมิติที่ซับซ้อน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม  การมีอิริยาบถเคลื่อนไหว บริโภค  คิด  พูด  ทำ  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเพียงส่วนที่มองเห็นเหมือนภาพแบนๆ เท่านั้น   ยังมีสิ่งที่ซ่อนเร้น  ไม่รู้  ไม่เห็น  ไม่เข้าใจ  และเข้าไม่ถึงอีกมากมาย   เช่นนี้แล้วเราจะยังมัวอ่านชีวิตและใช้ชีวิตเพียงภาพแบนๆ กันอีกหรือ  
                การสอนให้รู้จักคิด  มิใช่การบอกทฤษฎีความคิด  หรือมิใช่แนะให้คิดอย่างนี้อย่างนั้น  เปล่าเลย  การรู้จักคิด” นั้นบอกกันไม่ได้   แต่กระตุ้นเร้าได้  และปฏิบัติการแบบสั่งสมทักษะได้  ถ้าครูมีทักษะประสบการณ์การอ่านอย่างมีมิติที่เพียงพอ
                การเรียนการสอนทุกวิชาจะต้องให้บูรณาการกับ ความรักการอ่าน”  สุกกับการขบคิด  คิดอย่างเอาชีวิตเป็นศูนย์กลาง  หรือเอาชีวิตคนเป็นหลัก  มิใช่เอาวิชาเป็นหลัก หรือวิชาใครวิชามันอย่างที่ทำๆ กันอยู่  เราจะต้องเอาทักษะการจำเป็นเครื่องสนับสนุนการคิด  มิใช่เอาการจำนำหน้าการคิดอย่างเช่นทุกวันนี้   ข้อสอบที่วัดความจำก็จะต้องพลิกแพลงให้เป็นข้อสอบวัดศักยภาพการคิด   ข้อสอบที่วัดความรู้ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นข้อสอบที่วัดศักยภาพการใช้ความรู้  ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปได้และทำได้แท้จริงก็ต่อเมื่อการอ่านหนังสือแตกฉาน  มีมิติ  การเรียนการสอนมีชีวิตชีวา  มีชีวิตที่เป็นจริงอยู่ในภาวะมิติแห่งความเป็นมนุษย์
                ที่สุดของที่สุดก็คือ  ครูจะต้องรักการอ่าน  ถ้าครูไม่รักการอ่านทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ  กบแห่งการศึกษาที่เราคาดหวัง  คงมิสามารถกระโดดจากบ่อน้ำเก่าๆ ในถ้ำมืดออกไปสู่โลกกว้างแห่งจินตนาการอันเปี่ยมด้วยพลังทางปัญญาที่เจิดจ้าประภัสสรได้
                แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มิได้คิดว่าครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูอันงดงามจะเป็นเช่นนั้น บทความนี้จึงเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกที่มีความหวัง… ขอให้เรามาร่วมกันสร้างมิติแห่งคุณค่าให้เกิดขึ้นในความหวังนั้นเถิด






    

                              ๓. ลักษณนามบางคำในภาษากฎหมายไทย



ผมได้อ่านบทความเรื่อง "ภาษากฎหมายไทย" ของศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ซึ่งท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้ถ่ายสำเนาไปให้ข้าพเจ้า ๑ ชุด เป็นบทความที่ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้เขียนไปเสนอในการอภิปรายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์มาก เพราะท่านผู้เขียนเป็นผู้ที่มีความสนใจในภาษาไทยมากเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะมีอดีตนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สนใจในการพูดและการเขียนภาษาไทย ทั้งยังได้เขียนหนังสือและบทความเกี่ยวกับภาษาไทยที่มีคุณค่ามากไว้ให้เราได้อ่านและข้าพเจ้าได้รับความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ จากหนังสือและบทความของท่านมาก   วันนี้จะขอนำข้อความบางตอนในบทความนั้นเฉพาะที่เกี่ยวกับ   "ลักษณนาม" มาเสนอท่านผู้ฟัง ดังนี้

       "ลักษณนามคำหนึ่งซึ่งจะถือว่าเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ คือ เดิมลักษณนามที่เกี่ยวกับบุคคลคำหนึ่ง ใช้คำว่า "นาย" เช่น คณะกรรมการคณะนั้น ๆ มี ๙ นาย แต่สตรีมีสิทธิมากขึ้นกว่าเดิม (ส่วนหน้าที่ก็ดูจะมีน้อยลงไปด้วย) ตอนที่สตรีมีสิทธิมากขึ้น ก็ได้มาเป็นกรรมการในคณะต่าง ๆ ก็เกิดมีปัญหาตามมาว่าจะเรียกกรรมการ ๙ นายไม่ถูก ผู้หญิงจะเป็น "นาย" ได้อย่างไร ครั้นจะเรียกว่า ๕ นาย ๔ นาง ก็ดูกระไรอยู่ จึงต้องเปลี่ยนใช้คำรวมเป็น "คน" คือ กรรมการ ๙ คน ฝ่ายสตรีซึ่งเพิ่งได้สิทธิมาใหม่ ๆ ก็เจ้ายศเจ้าอย่างหน่อยตัดพ้อว่า แต่ก่อนร่อนชะไรเรียก "นาย" ได้ เดี๋ยวนี้เรียก "คน" เสียแล้ว ดูคล้าย ๆ ว่า ชายไม่ยกย่องหญิงเท่า ที่ควร ปัจจุบันนี้ฝ่ายชายซึ่งโดยปรกติก็ด้อยกว่าฝ่ายหญิงอยู่แล้วในเรื่องความสามารถ ความปราดเปรื่อง และความเด็ดเดี่ยว ก็จะต้องยอมรอมชอมเพื่อรักษาความสงบ ยกย่องเสียโด่งฟ้าเลยว่า เป็นกรรมการ ๙ "ท่าน" บัดนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิงกลายเป็น "ท่าน" ไปหมดแล้ว."

       การใช้ลักษณนามว่า "ท่าน" แทนคำว่า "คน" นั้น เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาเป็นอีกแนวหนึ่งว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการคณะหนึ่ง มีทั้งเจ้านายและเสนาบดีร่วมเป็นกรรมการในคณะเดียวกัน เวลาจะใช้ลักษณนามจะใช้อย่างไร เพราะตามปรกติถ้าเป็นเจ้านายก็ใช้ลักษณนามว่า "องค์" เป็นเสนาบดีก็ใช้ ลักษณนามว่า "คน" ถ้าสมมุติว่า ในคณะกรรมการชุดนั้นมีเจ้านาย ๒ องค์ เสนาบดี ๓ คน ผู้ที่มิได้มียศถาบรรดาศักดิ์อีก ๓ คน จะใช้ลักษณนามว่าอย่างไร จะบอกว่ามี "กรรมการมาประชุม ๒ องค์ กับ ๖ คน" กระนั้นหรือ เพื่อแก้ปัญหานี้ ท่านจึงใช้ลักษณนามกลาง ๆ ว่า "ท่าน" คือมี "กรรมการมาประชุม ๘ ท่าน" คำว่า "ท่าน" ซึ่งตามปรกติเป็นคำสรรพนาม เลยกลายเป็นคำนาม คือใช้เป็นลักษณนามไป ปัจจุบันนี้มีผู้นำคำว่า "ท่าน" ไปใช้เป็นลักษณนามให้เกร่อไปหมด แม้แต่นักเรียนและนักโทษก็พลอยไปรับยกย่องให้ใช้ลักษณนามว่า "ท่าน" ไปด้วย เช่น มีนักเรียน ๓๐ ท่าน มีนักโทษ ๒๕ ท่าน ฯลฯ อย่างนี้ก็ออกจะเกินพอดีไปมาก ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไป ก็ใช้ลักษณนามว่า "คน" เหมือนกันหมด ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การที่จะใช้ ลักษณนามกับสตรีว่า "นาย" ก็ดูขัด ๆ หูอยู่ ถ้าจะใช้ลักษณนามว่า "นาง"  ก็คงไม่มีใครชอบ และยิ่งสตรีที่ยังมิได้แต่งงานหากใช้ลักษณนามว่า  "นาง"  เขาก็คงไม่ชอบอย่างแน่นอน    และอาจต่อว่าหาว่าไปดูถูกดูหมิ่นเขาก็ได้   แต่ถ้าใช้  ลักษณนามว่า "คน" เหมือนกันหมด ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน เพราะทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างก็เป็นคนเหมือนกัน

       คำลักษณนามอีกคำหนึ่ง ที่ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร กล่าว ถึงก็คือลักษณนามที่ใช้กับ "ช้าง" ดังที่ท่านได้เขียนถึงไว้ดังนี้

       "อนึ่ง ภาษากฎหมายครั้งรัชกาลที่ ๔ นั้น ลักษณนามบางคำ ท่านทรงตราไว้เป็นกฎหมายว่า ช้างก็ดี ม้าก็ดี เป็นสัตว์ชั้นสูง จะเรียกช้างหนึ่งตัว ม้าหนึ่งตัวไม่ได้ ต้องเรียก "ช้างหนึ่งช้าง" "ม้าหนึ่งม้า" มิฉะนั้นจะมีความผิด แต่ภาษาวิวัฒนาการเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันลักษณนามเกี่ยวกับช้างและม้าเปลี่ยนไปแล้ว เราเรียก "ช้างหนึ่งเชือก" "ม้าหนึ่งตัว" แต่กระนั้นก็ดี ในวงการนักกฎหมายนั้น เคยมีการออกข้อสอบของสำนักอบรมศึกษากฎหมายของเนติบัณฑิตยสภาอยู่ปีหนึ่งว่า "ช้างพังเชือกหนึ่ง ออกลูกหนึ่งตัว..." กรรมการสอบไล่ต้องไปถกเถียงกันอีกว่า แล้วเมื่อไร ลูกช้าง "ตัว" นั้น จะบรรลุนิติภาวะเป็น "เชือก" ขึ้นมา อย่างไรก็ดี โดยที่ร่างกฎหมายมาจนชิน ไม่มีผู้ใดทักท้วงได้ ท่านกรรมการผู้ออกข้อสอบข้อนั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนลักษณนามจาก "ตัว" เป็น "เชือก" ตามที่ มีผู้ถกเถียงกัน."

       ในเรื่องลักษณนามของช้างนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าช้างและม้าเป็นสัตว์ชั้นสูง จึงทรงให้ใช้ลักษณนามว่า "ช้าง" และ "ม้า" ส่วนสัตว์อื่น ๆ ให้ใช้ลักษณนามว่า "ตัว"

       ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ภาษาไทย ของราชบัณฑิตยสถานก็ได้เคยนำเรื่องนี้มาพิจารณาและได้ลงความเห็นว่า "ช้าง" ควรจะมีลักษณนาม ๓ คำ คือ ช้างป่าหรือช้างเถื่อนที่ยังไม่มีใครไปจับมาใช้งานนั้นให้ใช้ลักษณนามว่า "ตัว" ส่วนช้างที่ถูกจับมาฝึกฝนจนใช้งาน เช่น งัดซุง ลากซุง ฯลฯ ได้แล้ว ให้ใช้ลักษณนามว่า "เชือก" เพราะตอนที่เขาจับมาเพื่อใช้งานนั้น เขาจะต้องเอาเชือกมาตกปลอกไว้ที่เท้าของมัน โดยเหตุนี้จึงใช้ลักษณนามว่า "เชือก" ส่วนช้างของหลวงก็ดี ม้าของหลวงก็ดี ถ้าได้ขึ้นระวางเป็นของหลวงแล้ว ให้ใช้คำว่า "ช้าง" เป็นลักษณนามของ "ช้าง" และใช้คำว่า "ม้า" เป็นลักษณนามของ "ม้า" ไม่ใช่ว่าออกลูกมาใหม่ ๆ ลูกช้างให้ใช้ลักษณนามว่า "ตัว" แต่เมื่อไรจึงจะใช้ลักษณนามว่า "เชือก" มิได้บอกไว้

       ถ้าถือตามที่ข้าพเจ้ากล่าวมา ลูกช้าง ถ้าเป็นลูกของช้างป่า ก็คงใช้ ลักษณนามว่า "ตัว" ถ้าเป็นลูกของช้างบ้าน ก็ให้ใช้ลักษณนามว่า "เชือก" และถ้าเป็นลูกช้างของช้างหลวงก็ใช้ลักษณนามว่า "ช้าง"

       เรื่องการใช้ลักษณนามว่าคำใดจะใช้ลักษณนามอย่างไรนั้น เวลานี้ "คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย" ได้พิจารณา ลักษณนามของคำนามต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ไว้และได้พิจารณาจบไปวาระหนึ่งแล้ว ขณะนี้กำลังทบทวนเป็นวาระที่ ๒ ซึ่งก็เกือบจบแล้วเช่นกัน ต่อไปคงไม่นานนักก็คงจะมีหนังสือคู่มือการใช้ลักษณนามขึ้นในบรรณโลกอย่างแน่นอน.
จำนงค์   ทองประเสริฐ
๒๑ ตุลาคม  ๒๕๓๔






                                                   ๔. อวัจนภาษาในภาษาหนังสือพิมพ์



โดย :taeytatang
สร้างเมื่อ 27-05-2008
อวัจนภาษาในภาษาหนังสือพิมพ์ 
ผศ.สุภิตร อนุศาสน์ 
          ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้สื่อสารจะใช้เสียง ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ก็ได้ แต่จะต้องมีระบบกฎเกณฑ์ที่เข้าใจ ตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ภาษาที่ใช้สื่อสารกันเป็นปกติในชีวิตประจำวันแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ หรือวัจนภาษาและภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำหรืออวัจนภาษา
         
ถ้อยคำหรือวัจนภาษา เป็นภาษาที่มนุษย์กำหนดใช้และตกลงร่วมกันเพื่อแทนมโนภาพของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
         
ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำหรืออวัจนภาษา คือ กิริยาอาการต่าง ๆ ที่มนุษย์ใช้สื่ออารมณ์ความรู้สึกความต้องการ ฯลฯ บางท่านเรียกภาษาประเภทนี้ว่าภาษากาย (body language) อวัจนภาษา ของผู้ใดส่วนใหญ่จะบ่งบอกถึงความรู้สึกและบุคลิกภาพของผู้นั้น
        
 วัจนภาษา และ อวัจนภาษา มีความสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะในขณะที่บุคคลสื่อสารกันใน ลักษณะที่เห็นหน้าเห็นตากัน ย่อมต้องใช้ทั้งวัจนภาษา และ อวัจนภาษา เช่น ถ้าพูดว่า "ฉันต้องการหนังสือเล่มนั้น" และชี้มือไปที่หนังสือเล่มที่ต้องการ ผู้รับสารก็สามารถหยิบหนังสือได้ถูกต้อง
          การสื่อสาร โดยใช้วัจนภาษา ในรูปแบบการเขียนนั้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่าถ้อยคำที่เขียนนั้นมีอวัจนภาษาปนอยู่ด้วย เช่น
          "เขยิบ เขยิบ เขยิบ เขยิบ เข้ามาซิ กระแซะ กระแซะ กระแซะ เข้ามาซิ"
          "ใกล้ ๆ เข้าไปอีกนิด ชิด ๆ เข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อยน้อย อยู่ในวงฟ้อนรำ"
        
 คำว่า เขยิบ กระแซะ หรือใกล้ ๆ ชิด ๆ ช่วยให้ผู้รับสารเห็นกิริยาอาการ หรือบทชมปลาในกาพร์เห่เรือ ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
"ชะแวงแฝงฝั่งแนบ วาดแอบแปบปนปลอม 
เหมือนพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฎบังอร"
          คำว่า แฝง , แนบ , แอบ เป็นคำที่ช่วยผู้อ่านมองเห็นภาพตามที่กวีบรรยายได้อย่างชัดเจน อวัจนภาษา แบ่ง เป็น 7 ประเภท (สวนิต ยมาภัย , 2538 : 36 - 41) ดังนี้
         
1. เทศภาษา (proxemics) เป็นภาษาที่ปรากฎจากลักษณะของสถานที่ที่บุคคลทำการสื่อสาร กันอยู่รวมทั้ง ช่องระยะที่บุคคลทำการสื่อสารห่างจากกัน สถานที่และช่วงระยะ จะสื่อความหมายที่อยู่ในจิตสำนึกของผู้ที่กำลังสื่อสารกันได้ เช่น บุคคลต่างเพศสองคนนั่งชิดกันอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกันย่อมเป็นที่เข้าใจว่าบุคคลทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ
         
2. กาลภาษา (chonemics) การใช้เวลาเป็นการสื่อสารเชิงอวัจนะ เพื่อแสดงเจตนาของผู้รับสาร เช่น การ ไปตรงเวลานัดหมาย แสดงถึง ความเคารพ การให้เกียรติ และเห็นความสำคัญของผู้ส่งสาร หรือการรอคอยด้วยความอดทน แสดงว่า ธุระของผู้รอคอยมีความสำคัญมาก
         
3. เนตรภาษา (oculesics) เป็นอวัจนภาษาที่ใช้ดวงตาสื่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความประสงค์ และ ทัศนคติบางประการในตัวผู้ส่งสาร
         
4. สัมผัสภาษา (haptics) หมายถึงอวัจนภาษาที่ใช้อาการสัมผัส เพื่อสื่ออารมณ์ความรู้สึก ตลอดจน ความ ปรารถนา ที่ฝังลึกอยู่ในใจของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
         
5. อาการภาษา (kinesics) เป็นอวัจนภาษาที่อยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อการสื่อสาร เช่น ศีรษะ แขน ขา ลำตัว เป็นต้น
         
6. วัตถุภาษา (objectics) เป็นอวัจนภาษาที่เกิดจากการใช้และการเลือกวัตถุ มาใช้ เพื่อแสดงความหมาย บางประการ เช่น การแต่งกายของคน ก็สามารถสื่อสารบอกกิจกรรม ภารกิจ สถานภาพ รสนิยม ตลอดจนอุปนิสัยของบุคคลนั้น ๆ ได้
         
7. ปริภาษา (vocalics) หมายถึงอวัจนภาษา ที่เกิดจากการใช้น้ำเสียงประกอบถ้อยคำที่พูดออกไป น้ำ เสียงจะมีความสำคัญมากในการสื่อความหมายนั้น
         
ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา นอกจากจะเกิดขึ้นในขณะที่บุคคลกระทำการสื่อสาร เฉพาะหน้ากันแล้ว ในภาษาถ้อยคำหรือในวัจนภาษา เราจะสังเกตเห็นอวัจนภาษาแฝงอยู่ด้วยตัวอย่างที่เห็นอย่างสม่ำเสมอคือ การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้เพราะนักหนังสือพิมพ์ใช้ กลวิธีเขียนข่าวให้มีสีสันหรือวาดให้เห็นภาพ (illustration) ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการแสดงเรื่องให้ผู้อ่านดูมากกว่า การเล่าเรื่องหรือการรายงานข่าว การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ จึงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นเพื่อให้ผลทางอารมณ์ แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น speeial objects เช่น
         
"สำนักงบฯ ตีปี๊บ โครงการเงินกู้เจ๋ง"
          "ฆ่าโหด 20 ศพ ฝังทั้งเป็น" ถ้าเปลี่ยน เป็น
          "สำนักงบประมาณแถลงข่าวเรื่องโครงการเงินกู้ว่าประสบความสำเร็จ"
          "ชาย 20 คน ถูกฆ่าโดยวิธีการฝังทั้งเป็น"
         
จะพบว่า ภาษาเป็นทางการ ขาดสีสัน ไม่เร้าอารมณ์ ให้ติดตามรายละเอียดในเนื้อข่าว เมื่อนำภาษาพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ มาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษาแล้วพบว่า
อวัจนภาษาที่พบมากในภาษาพาดหัวข่าวมี 3 ประเภท คือ
1. อาการภาษา อวัจนภาษา ประเภทนี้จะพบมากที่สุด เพราะเป็นอวัจนภาษาที่เสริมให้วัจนภาษามีความ หมายชัดเจน เช่น ให้ผู้อ่านมองเห็นภาพ เช่น
          3 โจรบุกปล้นเรือนมยุรา
          รวบ คาโรงแรม โจ๋มัธยมมั่วยา
          คนกรมศาสนาลุย ปิดแล้วสำนักเพี้ยน
          สุรศักดิ์ได้ประกัน หอบ 18 ล้านค้ำ
          4 งูเห่าซบ ชพ.คึก ยึดนนท์ - ลุยปทุมฯ เปิดทีมหักหาญสวัสดิ์
 2. สัมผัสภาษา อวัจนภาษาประเภทนี้พบไม่มากนัก เป็นกริยาที่คนสองคนร่วมกันทำกิจกรรม หรือเป็น กิจกรรมของคนคนเดียวที่สัมผัสกับผู้อื่น เช่น
          กก แคชเชียร์ ผจก. ดับบริศนา
          หลุยส์ ควง สนั่น ไหว้ครูรามฯ
          มีกริยาบางคำที่เป็นสัมผัสภาษา แต่สื่อมวลชน นำมาใช้ในความหมายแฝง คำเหล่านี้ ไม่จัดเป็นสัมผัสภาษา เช่น
          รัฐควัก 300 ล. เน้น สิบล้อ
          คำว่า "อุ้ม" ในที่นี้หมายถึง ช่วยเหลือ จึงไม่จัดเป็นสัมผัสภาษา
         
3. ปริภาษา อวัจนภาษา ประเภทนี้มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการใช้คำเลียนเสียง เพื่อแสดงอารมณ์หรือ กระตุ้นให้ผู้อ่านแปลความหมายจากเสียงที่ได้ยินว่า เป็นอารมณ์อย่างไร เช่น แท็กซี่
          ฮื่ม - ประมง ปิดอ่าว ครม. ไม่ลดแวต
          เสรีธรรม เฮ ลั่นรับอีดี้
          คำว่า ฮื่ม เป็นน้ำเสียงแสดงอารมณ์ไม่พอใจ เฮ แสดงอารมณ์พอใจ ส่วน บิ้ม เป็นเสียงวัตถุระเบิด
สำหรับอวัจนภาษาประเภท เทศภาษา กาลภาษา วัตถุภาษา เนตรภาษา เท่าที่ศึกษายังไม่พบแต่อาจจะปรากฎใน ภาพข่าว หรือ การ์ตูน ซึ่ง เป็นอวัจนาภาษาที่ช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาของสารมากขึ้น เช่น
         
ภาษาหนังสือพิมพ์ เป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะ และมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งพิมพ์อื่น ๆ เพราะหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนทุกระดับ การที่หนังสือพิมพ์มีภาษาเฉพาะใช้ในวงการ และโดยเฉพาะการพาดหัวข่าวและหัวข่าวรองที่มีเนื้อที่กระดาษ จำกัด จำเป็นต้องใช้คำกระชับสะดุดตา  สะดุดใจคนอ่านซึ่งนับเป็นการสร้างสรรค์ทางภาษาที่น่าสนใจ และนักศึกษาอย่างยิ่ง












๕.สอนวรรณคดีไทยอย่างไรในยุคปฏิรูปการศึกษา



วรรณคดีไทย เป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินที่กวีทั้งหลายได้รังสรรค์ไว้ เพื่อให้เป็นเพชรล้ำค่าคู่แผ่นดินไทยมาในทุกยุคทุกสมัย วรรณคดีจะสะท้อนภาพของสังคมไทย ตามทัศนะของกวีที่เฝ้า มองและจับตาดูสภาพสังคมในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคมแล้วนำเสนอภาพที่เห็นออกมาตามมุมมองของตนโดยใช้ตัวอักษรที่มีแง่งามในด้านวรรณศิลป์เป็นเครื่องมือสำคัญในการถ่ายทอดสู่สายตาผู้อ่านจึงกล่าวได้ว่า วรรณคดีไทยคือสมบัติคู่บ้านคู่เมือง และมีส่วนสำคัญในการแสดงถึงความเป็นชาติมาช้านานปัจจุบันหลักสูตรการศึกษาทุกระดับได้มีการบรรจุวรรณคดีไทยเอาไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ทั้งนี้ก็เพราะในหมวด 4 ของแนวการศึกษาที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ, 2542 : 12 )

ได้กล่าวถึงการเน้นความสำคัญของความรู้ของผู้เรียนในข้อหนึ่งไว้ว่า ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และ ความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และ สังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทย และ ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การศึกษาวรรณคดีไทยจึงน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ข้อที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้บรรลุจุดมุ่งหมายได้เป็นอย่างดี เพราะวรรณคดีก็คือ ภาพสะท้อนสังคม หรือ กระจกเงาบานใหญ่ของสภาพสังคมไทยนั่นเอง

การเรียนการสอนวรรณคดีไทยในโรงเรียน นอกจากจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียน มองเห็นคุณค่า และช่วยกันธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ไทยแล้ว การสอนวรรณคดีไทยยังช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิด พฤติกรรม ค่านิยมของผู้คนในยุคสมัยนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร ข้อคิดคำสอน ตลอดจนอุทาหรณ์สอนใจที่ได้จากวรรณคดี ล้วนเป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่ายิ่งที่กวีทั้งหลายได้ฝากไว้ ในกลวิธีการประพันธ์ที่สามารถสร้างแง่งามให้เกิดขึ้นได้อย่างกลมกลืนแต่โดยทั่วไปการสอนวรรณคดีไทยในโรงเรียนทั่ว ๆ ไป ยังคงเป็นเพียงการสอนอ่านเอาเรื่องหรือการสอนอ่านออกเสียง หรือบางครั้งที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็เป็นการสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยเอาเสียเลย ผู้สอนหลายคนมักจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจความหมาย และท่องจำคำศัพท์โบราณ หรือ ศัพท์ยาก ๆ เอาไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อจะได้เก็บไว้ตอบคำถามในการทำข้อสอบในตอนท้ายในขณะที่ผู้สอนบางคนก็จะมุ่งให้ผู้เรียนแปลความหมายในงานประพันธ์ร้อยกรองที่เป็นภาษาไทยอยู่แล้วและเป็นภาษาไทยที่มีแง่งามทางด้านวรรณศิลป์อย่างดีเยี่ยมให้ออกมาเป็นภาษาไทยร้อยแก้วที่ต้องสละสลวยยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมมากยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของผู้เรียนที่ยังใช้ภาษาไทยได้ยังไม่ดีเท่าใดนัก นอกจากนี้ผู้สอนบางคนยังมุ่งเน้นย้ำให้ผู้เรียนพยายามจดจำถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่หากไม่ตั้งใจจริง ๆ ก็คงจะจำไม้ได้ แต่ครูผู้สอนก็จะเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญและสำคัญมากจนต้องจำให้ได้ขึ้นใจในที่สุด ประเด็นการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ก่อให้เกิดความสุนทรีย์ในการเสพงานวรรณคดีไทยแต่อย่างไร ตรงกันข้าม กลับทำให้ผู้ที่จะเสพวรรณคดีไทยอาจสำลัก และพาลเบื่อหน่ายไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว และก็กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของการเรียนวิชาภาษาไทยในส่วนของวรรณคดีไทยไปได้ในที่สุด ยิ่งถ้าหันมาพิจารณาถึงข้อสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของทบวงมหาวิทยาลัยในวิชาภาษาไทย สำหรับส่วนของวรรณคดีไทยแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า ลักษณะของข้อสอบจะเป็นการถามถึงแนวคิด ลักษณะภาพสะท้อนสภาพสังคม ค่านิยมที่ปรากฏในวรรณคดีไทยแต่ละเรื่อง นอกจากนี้ก็เป็นถามถึงสุนทรียภาพของการใช้ภาษาไทยในด้านวรรณศิลป์ และนี่เอง คงจะเป็นการไขข้อปริศนาสำคัญที่ว่า ทำไมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศไทย จึงต้องไปสมัครเรียนกวดวิชา สำหรับวิชาภาษาไทยเพื่อการสอบเอนทรานซ์เป็นจำนวนมาก คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ เรียนอย่างหนึ่งแต่กลับสอบอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง
จึงมาถึงคำถามสำคัญที่ว่า แล้วควรสอนวรรณคดีไทยกันอย่างไรดี ผู้เรียนจึงจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้กำหนดเอาไว้ในยุคของการปฏิรูปการศึกษา ในเมื่อสาระสำคัญของการเรียนรู้ในปัจจุบันเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และ เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง มุ่งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกที่ถูกต้องในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความภูมิใจในความเป็นไทยรู้จักรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย ( สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ , 2542 : 5 ) ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สอนวิชาภาษาไทยมากกว่า 10 ปี จึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการสอนวรรณคดีไทยในโรงเรียนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเป็นการขานรับกับนโยบายการศึกษาในยุคปฏิรูป ดังต่อไปนี้
1) ครูผู้สอนวรรณคดีไทย พึงระลึกถึงลักษณะสำคัญของวรรณณคดีเอาไว้อยู่เสมอ ว่า วรรณคดีคือภาพสะท้อนสภาพสังคมแห่งยุคสมัย ผู้ประพันธ์หรือกวีจะสะท้อนแนวคิด มุมมองที่ตนมีอยู่ผ่านลงไปในเนื้อเรื่องที่ผู้ประพันธ์ได้เรียงร้อยขึ้นมา ดังนั้นในการสอนครูผู้สอนจะต้องหาวิธีการที่จะทำให้ผู้เรียนมองเห็นและวิเคราะห์ภาพ ตลอดจนแนวคิดที่กวีสะท้อนออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด การนำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัยมากล่าวถึงในการสอน จะเป็นเพียงฉากหลังที่จะช่วยส่งให้ภาพสะท้อนเด่นชัดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ในการกล่าวถึงมากมายแต่อย่างใด
2) ครูผู้สอนวรรณคดีไทย ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จัก ใช้ความคิด รู้จักใคร่ครวญใช้สติปัญญาของตนในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น การอ่านงานวรรณคดีจะทำให้มองเห็นแง่มุมเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่หลากหลายต่างยุคต่างสมัยพฤติกรรมของตัวละครในวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ จะทำให้มองเห็นแง่มุมเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่หลากหลายต่างยุคต่าสมัย พฤติกรรมของตัวละครที่เกิดขึ้นและโลดแล่นอยู่ในเนื้อเรื่องจะเป็นบทเรียนชีวิตจำลองที่ท้าทายให้ผู้เรียนได้รู้จักขบคิด และติดตาม ครูผู้สอนควรใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อมูลตัวอย่างในการฝึกฝนการใช้สติปัญญาในการขบคิดแก้ปัญหาของผู้เรียน สถานการณ์ต่าง ๆ และพฤติกรรมของตัวละครที่เกิดขึ้น น่าจะหยิบยกขึ้นมาเป็นแบบฝึกประสบการณ์ชีวิตของผู้เรียน ได้ทดลองใช้มุมมองและแนวความคิดของตนในการไตร่ตรอง ใคร่ครวญเพื่อเพิ่มพูนความเฉียบคมของสติปัญญาให้เพิ่มมากขึ้น
3) ครูผู้สอนวรรณคดีไทยควรจะเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นความงดงามและศิลปะของการใช้ภาษาไทยในการรังสรรค์ และ รจนาผลงานของกวี ผู้เรียนควรจะได้เสพถึงสุนทรียะ แห่งความซาบซึ้ง ในด้านรสคำ และ รสความ ความเสนาะของเสียงจากการเลือกสรรถ้อยอักษรของกวีที่บรรจงนำมาเรียงร้อยอย่างตั้งใจเพื่อก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้อ่าน ครูผู้สอนควรใช้ความรู้ทางหลักไวยกรณ์ไทย ในด้านสัทศาสตร์ มาช่วยในการอธิบายถึงการเลือกสรรถ้อยคำและเสียงเสนาะของวรรณคดีชิ้นนั้น ๆ เพื่อทำให้ผู้เรียนมองเห็นความมหัศจรรย์ของกวี ความอลังการของการเลือกสรรภาษามาร้อยเรียงอย่างมีศิลปะจนเกิดความงาม ตลอดจนอัจฉริยลักษณ์ของภาษาไทยของเราให้ได้
4) ครูผู้สอนวรรณคดีไทยควรใช้เนื้อหา เหตุการณ์ของวรรณคดีที่กวีได้รังสรรค์รจนาเอาไว้มาเป็นแรงจูงใจสำคัญในการที่จะทำให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่าน และ เป็นผู้ใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องกล่าวคือ ครูผู้สอนจะต้องพยายามใช้งานวรรณคดีที่ผู้เรียนกำลังอ่านอยู่ในชั้นเรียนนั้นเป็นตัวกระตุ้นและยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความกระหายใฝ่รู้ อยากจะติดตามอ่านเนื้อหาสืบเนื่องจากเรื่องที่กำลังอ่านอยู่เดิม หรือ เห็นความสำคัญของการค้นหาความรู้ด้านอื่น ๆ มาประกอบ หรือ ขยายความให้งานวรรณคดีที่ตนกำลังอ่านอยู่เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เรียนอยากหาโอกาสในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียนหรือ คนอื่น ๆ ที่เคยได้มีโอกาสอ่านงานประพันธ์ชิ้นเดียวกันมาแล้ว เพื่อเป็นการขยายโลกทัศน์ของตนให้กว้างขวางออกไปยิ่งขึ้น

จากแนวทาง 4 ประการที่ผู้เขียนได้เสนอแนะเอาไว้ข้างต้นนี้ คงจะช่วยทำให้ครูผู้สอนมองเห็นภาพรวมของการสอนวรรณคดีไทยในยุคปฏิรูปการศึกษา ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ มีนิสัยใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง และคงไม่ใช่ภาระหนักอึ้งเกินไปสำหรับครูผู้สอนภาษาไทยทุกท่านที่เคยศึกษาวรรณคดีไทยกันมาแล้วอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้เพียงแต่ว่า เมื่อจะนำมาสอนผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง อาจจะยังมองไม่เห็นแนวทาง หรือ อาจจะยังหลงทางไปบ้าง แต่ก็คงยังไม่สายเกินไปกับการที่จะหันกลับมา และลองใช้กลวิธีการสอนที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้เพื่อให้วรรณคดีไทยของเรา “จงคงคู่กัลปา ยืนโยค หายแผ่นดินฟ้าไหม้ อย่าหาย”
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน . (2542) . พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ .
ศิลปศาสตร์ธรรมศาสตร์ , สมาคม . (2537) . เอกสารประกอบการอบรม เรื่องการสอน วรรณคดีไทยให้สนุก. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.






          

                           ๖. บทความกลอนเกี่ยวกับเพื่อน

รวมบทกลอนเพราะ ๆ เกี่ยวกับเพื่อน 
     ก่อนจากกันนั้นมีกลอนฝากถึงเพื่อน คอยย้ำเตือนให้เรามิห่างหาย
มิตรภาพที่มีไม่เสื่อมคลาย เราและนายเป็นเพื่อนกันตลอดไป
แม้วันนี้จวนถึงวันที่ต้องจาก ต้องพลัดพรากกันไปไกลแสนไกล
แต่ความรักที่มียังตรึงใจ แม้จากไปแต่ใจคิดถึงเธอ
ที่มาของ กลอนเกี่ยวกับเพื่อน


กลอนเกี่ยวกับเพื่อน ซึ้งๆ

     
วันของเรา ใกล้จะกลาย เป็นความหลัง
นึกถึงวัน เฮฮา น้ำตาไหล
แม้ว่าเรา อาจต้องห่าง จากไปไกล
แต่ในใจ คือเพื่อนกัน ไม่เปลี่ยนแปลง